โลกทุกวันนี้ขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยี ดังนั้นธุรกิจใดที่ไม่มีการคิดค้นนวัตกรรมใหม่ๆ ก็จะถูกทิ้งไว้เบื้องหลังอย่างไม่ทันได้ตั้งตัว
หากถามว่า “มีเทคโนโลยีใดบ้างที่เปลี่ยนแปลงโลก?” เราคงจะนึกออกกันนับไม่ถ้วน สตาร์ทอัพใหม่ๆ ผุดขึ้นมาพร้อมกับนวัตกรรมมากมาย แต่ยุคนี้หากสตาร์ทอัพใช้แค่ Technology ขับเคลื่อนธุรกิจเพียงอย่างเดียวอาจจะไม่เพียงพอต่อการเติบโต ในบทความนี้เราจึงอยากพูดถึง “Deep Tech” เทคโนโลยียุคใหม่ที่จะติดจรวดธุรกิจของคุณให้เติบโตอย่างก้าวกระโดด!
ต้องบอกว่า “Deep Tech” กำลังมาแรงและน่าจับตามองมากทีเดียว ถ้าอยากรู้ว่ามันคืออะไร และสำคัญอย่างไรในอนาคต เราไปดูกันเลยดีกว่า
Deep Tech คืออะไร และเปลี่ยนแปลงโลกได้อย่างไร?
Deep Tech หรือ Deep Technology คือ เทคโนโลยีชั้นสูงที่ถูกสร้างขึ้นมาแก้ปัญหาเฉพาะด้าน ซึ่งจะเกิดจากการนำเทคโนโลยีเดิมมาประยุกต์ใช้ในเชิงลึก หรือการสร้างเทคโนโลยี หรือนวัตกรรมใหม่ๆขึ้นมาก็ได้
ยกตัวอย่างง่ายๆ เช่น ระบบแปลภาษาจากตัวอักษร เป็นเทคโนโลยี แต่ AI สำหรับแปลภาษาจากคำพูดแบบ Real-Time โดยใช้หลักการวิเคราะห์ข้อมูลแบบใหม่ ทำให้ใกล้เคียงการแปลของมนุษย์มากขึ้น คือ Deep Tech เป็นต้น
แล้วทำไม Deep Tech ถึงเปลี่ยนโลกได้ ?
ดังที่บอกว่า Deep Tech เป็นสิ่งที่ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อ ‘แก้ไขปัญหาเฉพาะด้าน’ ที่มีอยู่แล้วในโลก
ซึ่งยังไม่มีเทคโนโลยีใดในปัจจุบันแก้ได้ ไม่ว่าจะเป็นด้านเกษตร ด้านสุขภาพ ด้านพลังงาน หรือด้านอื่นๆ ดังนั้นหากจะกล่าวว่า “ทุกความสำเร็จของ Deep Tech จะเป็นการสั่นสะเทือนวงการ ระดับเปลี่ยนแปลงโลกได้” ก็ไม่ได้ห่างไกลความเป็นจริงแต่อย่างใด
เทคโนโลยี Deep Tech ปัจจุบันมีอะไรบ้าง
เนื่องจาก Deep Tech ถูกใช้เพื่อแก้ปัญหาเฉพาะด้าน และมีการใช้เทคโนโลยีหลากหลายรูปแบบรวมกัน การแบ่งหมวดหมู่ของ Deep Tech จึงแบ่งตามการศึกษาและการแก้ปัญหาต่างๆ ซึ่งมีตัวอย่างดังต่อไปนี้
Artificial Intelligence (AI) หรือ “ปัญญาประดิษฐ์”
- OpenAI ที่เป็น AI ซึ่งคนทั่วไปสามารถช่วยปรับเปลี่ยน ปรับปรุงได้ ช่วยแก้ไขปัญหาคนทั่วไปเข้าไม่ถึงเทคโนโลยี AI
- SAGE SENSES AI ที่เชื่อมต่อกับอุปกรณ์ IoT ต่างๆ ในบ้านเช่น เซนเซอร์ตรวจจับเสียง หรือเซนเซอร์ตรวจจับภาพ ทำให้เราสามารถสั่ง AI ทำสิ่งต่างๆในบ้านได้ หรือใช้ AI แจ้งเตือนภัยอัตโนมัติหากเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝัน เป็นต้น
- รถยนต์ไร้คนขับของ Google ที่มีการพัฒนา AI ขั้นสูงเพื่อเรียนรู้การขับรถอย่างปลอดภัย
Robotics เทคโนโลยีหุ่นยนต์
- YOMi หุ่นยนต์ทันตกรรม ที่จะคอยช่วยทันตแพทย์ในการทำฟันตั้งแต่เคสง่ายๆ ไปจนถึงเคสที่ต้องใช้ความแม่นยำสูง
- Atlas หุ่นยนต์จาก Boston Dynamics ที่เลียนแบบการเคลื่อนไหวของคน ทั้งการเดิน วิ่ง ล้มแล้วลุกด้วยตัวเอง และการเคลื่อนไหวยากๆ เพื่อทำหน้าที่ขนของหรือกู้ภัย
- Bigdog หุ่นยนต์สี่ขา ที่ดีไซน์เลียนแบบการเคลื่อนไหวของสัตว์ เพื่อขนของเข้าถึงพื้นที่ที่คนธรรมดาไม่สามารถเข้าถึงได้ เช่นหุบเขา ป่าลึก เป็นต้น
เทคโนโลยีด้านพลังงาน
- Power wall แบตเตอร์รี่ลิเทียมไอออน รูปแบบใหม่ที่มีความจุสูงเพียงพอทีจะสำรองไฟฟ้าในบ้านได้

- เครื่องกำเนิดไฟฟ้าพลังงานคลื่นน้ำทะเล ที่จะผลิตกระแสไฟฟ้าทุกครั้งที่มีคลื่นซัดเข้าใส่ตัวเครื่อง
เราคงเห็นแล้วว่าในอนาคต Deep Tech กลายเป็นกุญแจสำคัญในการพัฒนาอุตสาหกรรม และยกระดับการพัฒนานวัตกรรมไปอีกขั้น เพราะมันเป็นเทคโนโลยีที่หยุดนิ่งไม่ได้
ศาสตราจารย์ Deborah Estrin จาก Cornell Tech กล่าวว่า Deep Tech เป็นสิ่งที่ดีในการผลิตนวัตกรรมทั้งระยะสั้นและระยะยาว เนื่องจากมันมีอะไรให้พัฒนาอย่างต่อเนื่อง รวมถึงการทลายขีดจำกัดเดิมๆด้วย
นั่นหมายความว่า Deep Tech เองก็ไม่ใช่สิ่งตายตัว ถ้าเราหยุดพัฒนา Deep Tech แล้วมีผู้พัฒนาเจ้าอื่นสามารถคิดค้นสิ่งที่ใกล้เคียงกันได้เยอะขึ้น สุดท้าย Deep Tech ก็จะกลายเป็นเทคโนโลยีธรรมดา ดังนั้นผู้ที่พัฒนา Deep Tech จะต้องมีความตื่นตัวและก้าวไปข้างหน้าอยู่เสมอ
ซึ่งปัจจุบัน Deep Tech หลายตัวถูกต่อยอดจากผลงานวิจัยสู่การเป็นสตาร์ทอัพเพื่อแก้ไขปัญหาสังคมแล้ว
เราจะไปดูกันต่อว่า Deep Tech ในภาคธุรกิจจะเป็นอย่างไร
รู้จักกับ Startup สาย Deep Tech
สตาร์ทอัพ (Startup) ที่เราได้ยินโดยทั่วไป คือธุรกิจที่มีรูปแบบทำซ้ำได้และสามารถขยายตัวได้อย่างรวดเร็ว ในขณะที่สตาร์อัพสาย Deep Tech จะใช้วิทยาศาสตร์และวิศวกรรมขั้นสูงในการพัฒนาสินค้าและบริการ
สตาร์ทอัพด้าน Deep Tech จึงมีความท้าทายไม่ใช่แค่เรื่องของเงินทุน แต่ยังมีในแง่การวิจัย การคิดค้นนวัตกรรม และต้องใช้เวลาในการพัฒนานานกว่าเทคโนโลยีอื่นๆ ทั่วไป
อย่างไรก็ตามจุดแข็งของ Deep Tech คือการสร้างนวัตกรรมด้วยเทคโนโลยีใหม่ ซึ่งเป็นเทคโนโลยีเชิงลึกที่เลียนแบบได้ยาก จึงไม่แปลกที่ผลิตภัณฑ์และบริการที่ใช้ Deep Tech จะมีความเฉพาะตัวสูง คู่แข่งทางธุรกิจจึงมีน้อย และสามารถแข่งขันกันได้อย่างเป็นธรรม
ตัวอย่าง Startup สาย Deep Tech
- FoodTech คือ การนำเทคโนโลยีมาพัฒนาอุตสาหกรรมการผลิตอาหาร รวมไปถึงการเก็บรักษาและเพิ่มประสบการณ์ทานอาหารของผู้บริโภค เช่น Biteback ที่ใช้เทคโนโลยีในการปรับปรุงน้ำมันปาล์มให้มีคุณภาพดียิ่งขึ้น
- HealthTech สตาร์ทอัพด้านการแพทย์เพื่อแก้ปัญหาสุขภาพให้กับผู้คน เช่น การพัฒนาแพลตฟอร์มที่เป็นสื่อกลางระหว่างจิตแพทย์และผู้ป่วย บันทึกคลื่นไฟฟ้าหัวใจได้ที่บ้านและแจ้งเตือนหากผิดปกติ เป็นต้น ตัวอย่าง Startup ประเภทนี้ได้แก่ K-Health ที่วินิฉัยโรคเบื้องต้นของผู้ป่วยด้วย AI
- AgriTech คือ การพัฒนาเทคโนโลยีการเกษตรให้ดีขึ้น ทั้งการการเพาะปลูกและ การบริหารจัดการสินค้าเกษตร เช่น Aerobotic Startup ที่ใช้โดรนอัตโนมัติเพื่อตรวจโรคในพืช หรือ Connecterra ที่ใช้ AI เพื่อตรวจสุขภาพของวัว เป็นต้น
เริ่มต้น Deep Tech Startup กับ PTT ExpresSo
ทีม ExpresSo ที่จุดประกายโดยปตท. เป็นทีมที่มุ่งมั่นที่จะสร้างและค้นหานวัตกรรมใหม่ๆ มาแก้ไขปัญหาให้กับผู้คน ซึ่งหนึ่งในภารกิจของทีม ExpresSo คือการมองหาสตาร์ทอัพที่มีไอเดียน่าสนใจมาร่วมงานกันกับเรา
Deep Tech เป็นอีกสาขาหนึ่งที่ ExpresSo ให้ความสนใจอย่างมาก ซึ่งการที่จะผลักดันให้สตาร์ทอัพกลุ่มนี้เติบโตได้จำเป็นต้องมีแรงขับเคลื่อนหลายๆ ปัจจัย ได้แก่
- ผู้เชี่ยวชาญ ผู้มีประสบการณ์และข้อมูลเชิงลึกในเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้อง
- หน่วยงาน องค์กรรัฐที่สนับสนุนการพัฒนานวัตกรรม
- บุคลากรที่มีความรู้ความเข้าใจในการทำธุรกิจสตาร์ทอัพกลุ่ม Deep Tech
- เป็นต้น
สรุป
Deep Tech เป็นเทคโนโลยีขั้นสูงที่น่าจับตามองในยุคนี้ เนื่องจากเป็นกุญแจที่จะขยายขีดจำกัดการผลิตสินค้าและบริการในแบบที่เทคโนโลยีทั่วไปยังทำไม่ได้ ซึ่งสามารถส่งผลกระทบในระดับประเทศได้อย่างมหาศาล สตาร์ทอัพที่ใช้ Deep Tech ในการขับเคลื่อนธุรกิจจึงมีความโดดเด่น เป็นที่สนใจมากในยุคนี้ อย่างไรก็ตาม Deep Tech นั้นมีความท้าทายหลายอย่าง เนื่องจากต้องมีบุคลากรที่เชี่ยวชาญเฉพาะด้าน ใช้ระยะเวลาในการพัฒนานาน ไปจนถึงเรื่องเงินลงทุน จึงต้องการการสนับสนุนจากหน่วยงานต่างๆ ด้วย
Deep Tech เป็นอีกสาขาหนึ่งที่ทีม ExpresSo จากปตท.มองเห็นศักยภาพการเติบโต และได้ให้ความสำคัญอย่างมาก ดังนั้นการจับมือร่วมกันระหว่าง Deep Tech สตาร์ทอัพ และปตท. จึงเป็นทางหนึ่งที่สามารถเพิ่มโอกาสในการต่อยอดธุรกิจ และแก้ไขปัญหาระดับชาติในอนาคตได้