ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีด้านพลังงานในปัจจุบัน ทำให้เกิดทางเลือกใหม่ในการเดินทางเพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะรถยนต์พลังงานไฟฟ้าที่ถือเป็นพาหนะที่ถูกคาดหวังไว้ว่าจะเป็นยานพาหนะแห่งอนาคต
ในขณะเดียวกันก็ยังมีความเห็นจากอีกฝั่งที่ยืนยันว่าประสิทธิภาพและความคุ้มค่าของรถยนต์พลังงานฟอสซิลมีมากกว่าการใช้งานรถยนต์พลังงานไฟฟ้า เราจึงได้นำข้อมูลบางส่วนมาเปรียบเทียบกันเพื่อทำให้เห็นภาพความแตกต่างของรถยนต์สองประเภทนี้ชัดเจนมากยิ่งขึ้นรถยนต์พลังงานไฟฟ้า VS รถยนต์พลังงานฟอสซิล
อนึ่งการเปรียบเทียบระหว่างยานพาหนะสองรูปแบบที่คล้ายกันย่อมมีปัจจัยยิบย่อยเข้ามามีส่วนอยู่เสมอ ดังนั้นในครั้งนี้รูปแบบการเปรียบเทียบจะอ้างอิงจากประเทศไทยเป็นหลัก เพื่อให้ข้อมูลมีความใกล้ตัวของเรามากขึ้น
รถยนต์พลังงานไฟฟ้า การชาร์จพลังงานรถยนต์เพื่อใช้งานโดยส่วนมากจะกินเวลาราวหนึ่งชั่วโมงถึงครึ่งวัน แล้วแต่อัตราการเติมพลังงาน สามารถชารจ์จากบ้านที่มีอุปกรณ์รองรับได้ หรือชาร์จตามสถานีเติมพลังงานไฟฟ้า ที่มีอยู่ประมาณ 1,200 จุดทั่วประเทศได้
รถยนต์พลังงานฟอสซิล สามารถเติมพลังงานได้จากปั้มน้ำมัน/ก๊าซธรรมชาติ ที่มีอยู่ทั่วประเทศราว 30,000 ปั้มได้ แต่ไม่สามารถเติมพลังงานในบ้านได้
ข้อสังเกต หากอ้างอิงจากเรื่องนี้จะเห็นได้ชัดเลยว่ารถยนต์ไฟฟ้าจะสะดวกสำหรับการเดินทางในระยะสั้นๆ หรือใกล้บ้าน เนื่องจากสามารถเติมพลังงานได้ง่าย ขณะเดียวกันรถยนต์ที่ใช้พลังงานน้ำมันหรือพลังงานฟอสซิลชนิดอื่นจะสามารถเติมพลังงานนอกบ้านได้สะดวกมากกว่า เหมาะสำหรับการเดินทางไกลกว่า
การซ่อมบำรุง
รถยนต์พลังงานไฟฟ้า ปัจจุบันการซ่อมบำรุงรถยนต์ไฟฟ้าในประเทศไทยยังไม่มีอู่รองรับที่มากนัก จะสามารถซ่อมได้ที่ศูนย์หรืออู่ที่รับซ่อมแบบเฉพาะทางมากกว่า
รถยนต์พลังงานฟอสซิล อู่ซ่อมรถยนต์ที่ใช้พลังงานฟอสซิล อาทิ ก๊าซธรรมชาติ และน้ำมัน สามารถหาได้ทั่วประเทศ ไม่ว่าจะเป็นอู่เล็กหรือใหญ่ แม้แต่ในตรอกซอกซอยต่างๆ ก็ยังมีอู่รองรับ เนื่องจากรถยนต์ประเภทนี้มีการใช้งานมาอย่างยาวนาน และช่างคุ้นเคยมากกว่า
ข้อสังเกต ในส่วนของการซ่อมบำรุงนี้อาจต้องรอระยะเวลาอีกสักพักใหญ่ๆ เพื่อที่จะให้อู่ซ่อมทั่วไปเกิดการปรับตัวเพื่อรองรับการซ่อมบำรุงที่ง่ายขึ้น
การใช้งานทั่วไป
รถยนต์พลังงานไฟฟ้า มีความเงียบกว่ารถยนต์ใช้พลังงานฟอสซิลทั่วไปอย่างเห็นได้ชัด รวมถึงมีความนิ่มกว่า สามารถขับได้โดยไม่มีอาการกระตุกจากการเปลี่ยนเกียร์และการออกตัวแบบกระชาก มักมีเทคโนโลยีภายในที่ล้ำกว่ารถยนต์ทั่วไป
รถยนต์พลังงานฟอสซิล มีเสียงค่อนข้างดัง มีจังหวะกระชากเป็นบางครั้งในการขับขี่ขึ้นอยู่กับแบรนด์ว่าสามารถออกแบบรถมาได้ดีแค่ไหน เนื่องจากรถยนต์ที่ใช้พลังงานฟอสซิลออกมานานแล้วความหลากหลายที่มีอยู่นั้นส่งผลให้เทคโนโลยีบางส่วนเริ่มล้าสมัยแล้ว
ข้อสังเกต สำหรับการใช้งานนั้นโดยส่วนมากจะขึ้นอยู่กับว่ารสนิยมผู้ขับขี่นั้นชอบแบบไหนมากกว่ากัน แต่โดยทั่วไปแล้ว รถยนต์ไฟฟ้าจะมีความโดดเด่นมากกว่ารถยนต์ที่ใช้น้ำมันมากนัก ทั้งส่วนของการขับขี่และเทคโนโลยีภายในรถ
ผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม
รถยนต์พลังงานไฟฟ้า ไม่มีผลกระทบกรณีใช้งานด้านการวิ่งทั่วไป แต่มีผลกระทบในกรณีการผลิตแบตเตอรี่ลิเทียมไอออนที่จำเป็นต้องใช้น้ำจำนวนมาก และการกำจัดแบตเตอรี่ลิเทียมที่อาจส่งผลต่อดินได้ยังไม่มีวิธีแก้ไขในระยะยาว
รถยนต์พลังงานฟอสซิล สิ่งที่พบได้หลักๆ สำหรับการใช้งานรถยนต์พลังงานฟอสซิลเลยคือควันรถจากการเผาไหม้ที่กระจายฟุ่งสะสมไปในอากาศ เสียงดังรบกวนอย่างเห็นได้ชัด
ข้อสังเกต แม้หลายฝ่ายจะระบุว่ารถยนต์ไฟฟ้ามีข้อเสียในด้านการกำจัดแบตเตอรี่ แต่ฝั่งรถยนต์ที่ใช้พลังงานฟอสซิลเองก็มีการเปลี่ยนแบตเตอรี่และน้ำมันเครื่องด้วยเช่นกัน ในส่วนนี้จึงต้องมีการศึกษาผลดีผลเสียต่อสิ่งแวดล้อมในระยะยาวเพิ่มขึ้น เนื่องจากไม่สามารถฟันธงได้แน่ชัดนัก
ราคา
รถยนต์พลังงานไฟฟ้า สำหรับประเทศไทยเรามักพบรถยนต์ไฟฟ้าราคา 1 ล้านบาทขึ้นไปเป็นหลัก เช่น MGZS EV และ Nissan Leaf แล้วราคาจะเริ่มโดดไปหลัก 5-10 ล้านบาท ซึ่งค่อนไปทางแบรนด์ Hi-end เลย ทำให้ผู้บริโภคมีตัวเลือกไม่มากนักในการซื้อรถยนต์ไฟฟ้าในปัจจุบัน
รถยนต์พลังงานฟอสซิล ในด้านของรถยนต์ที่ใช้พลังงานฟอสซิล โดยเฉพาะน้ำมัน จะมีราคาเริ่มต้นราว 300,000 บาท ขึ้นไป โดยมีแบรนด์รถยนต์ให้เลือกกว่าสิบแบรนด์ อีกทั้งยังมีเต้นท์รถมือสองมากมายที่ราคาอาจถูกลงได้อีก ทำให้ผู้บริโภคมีมีความสะดวกมากกว่าอย่างเห็นได้ชัด
ข้อสังเกต เนื่องจากตลาดรถยนต์ในปัจจุบันสัดส่วนรถยนต์ที่ใช้พลังงานฟอสซิล (น้ำมัน) ยังคงครองตลาดอยู่ ทำให้มีตัวเลือกที่หลากหลายมากกว่า และสัดส่วนราคาที่ต่ำกว่า แต่ในอนาคตคาดว่าจะมีการผลิตรถยนต์พลังงานไฟฟ้าเพิ่มมากขึ้นรวมถึงมาตรการช่วยเหลือผู้ใช้รถยนต์ไฟฟ้า ทำให้มีแนวโน้มว่าราคารถยนต์พลังงานไฟฟ้าจะลดลงอีกมากในอนาคต
คุณสามารถอ่านเรื่องราวเกี่ยวกับยานยนต์ไฟฟ้าเพิ่มเติมได้ที่นี่
ความนิยมของรถยนต์ไฟฟ้ากับอนาคตของการขับขี่
จากการเปรียบเทียบด้านบนจะเห็นได้ชัดว่ารถยนต์พลังงานฟอสซิล เช่น น้ำมัน ก๊าซธรรมชาติ ยังคงมีความสะดวกมากกว่า โดยเฉพาะในประเทศที่ระบบการเติมพลังงานยังไม่รองรับมากนักอย่างประเทศไทย
ทว่ากระแสรถยนต์ไฟฟ้าก็ยังคงมาแรงอย่างต่อเนื่อง แม้ว่าจะมีข้อกังขาเกี่ยวกับการผลิตและกำจัดแบตเตอรี่มากขนาดไหนก็ตาม ซึ่งหากทางแบรนด์ผู้ผลิตสามารถแก้ปัญหานี้ได้ล่ะก็อนาคตของยานพาหนะชนิดนี้ก็นับว่าสดใสไม่น้อยเลยทีเดียว
ท้ายสุดแล้ว จากการเติบโตของผู้ใช้รถยนต์ไฟฟ้าและเทรนด์เกี่ยวกับพลังงานและภาวะโลกร้อน ก็สามารถคาดการณ์ได้ไม่ยากเลยว่าในระยะยาวนั้นการใช้งานพาหนะประเภทนี้นั้นจะได้รับความนิยมอย่างยิ่งในอนาคต รวมถึงยานพาหนะไฟฟ้าชนิดอื่นๆ ที่ใช้ไฟฟ้าด้วย แต่ก็ต้องยอมรับว่ามันเป็นระยะเวลาที่นานทีเดียว เนื่องจากปริมาณของรถยนต์ที่ใช้พลังงานฟอสซิลยังคงมีมากอยู่ในปัจจุบัน