แหล่งพลังงาน คือ พื้นฐานสำหรับการเติบโตของประเทศ ทั้งการสร้าง พัฒนา และรักษา ล้วนแล้วแต่ต้องใช้พลังงานเป็นหลัก โดยเฉพาะประเทศไทย ที่กำลังพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน รวมถึงกระจายความเจริญอย่างต่อเนื่อง
แล้วคุณเคยสงสัยมั้ยว่าแหล่งพลังงานเหล่านี้อยู่ที่ไหนบ้าง ใกล้หรือไกลตัวเราขนาดไหน แล้วแหล่งพลังงานที่มีอยู่เพียงพอหรือไม่สำหรับการพัฒนาประเทศอย่างยั่งยืน ในบทความนี้เราจะมาหาคำตอบกัน
ประเภทของพลังงาน
ก่อนจะกล่าวถึงแหล่งพลังงาน ต้องทำความเข้าใจก่อนว่าพลังงานถูกแบ่งออกเป็นสองประเภท ตามแหล่งที่มา ได้แก่
1. พลังงานขั้นต้น (Primary Energy) หรืออีกชื่อคือพลังงานต้นกำเนิด คือพลังงานที่อยู่ในธรรมชาติ สามารถนำมาใช้งานได้โดยตรง เช่น แสง น้ำ ลม ความร้อนใต้พิภพ เป็นต้น
2. พลังงานขั้นสุดท้าย (Final Energy) คือพลังงานที่เกิดจากการนำพลังงานขั้นต้นมาแปรรูป ปรับปรุงคุณภาพให้สามารถใช้งานได้หลากหลาย หรือมีประสิทธิภาพมากขึ้น เช่น พลังงานปิโตรเลียม พลังงานไฟฟ้า เป็นต้น
สำหรับประเทศไทยนั้น มีแหล่งสำหรับผลิตพลังงานทั้งสองประเภทกระจายอยู่ทั่วประเทศ โดยจะเน้นหนักไปทางพลังงานขั้นต้นเสียส่วนใหญ่ แต่ในปัจจุบันมีการผลักดันให้มีการผลิตพลังงานขั้นสุดท้าย อย่างพลังงานน้ำมันและพลังงานไฟฟ้ามากขึ้น เพื่อความมั่นคงทางพลังงาน
แหล่งพลังงานในไทยอยู่ที่ไหนบ้าง
ดังที่บอกไปข้างต้นว่าประเทศไทยมีอุตสาหกรรมด้านพลังงานกระจัดกระจายอยู่ทั่วประเทศ ซึ่งมีการผลิตก๊าซธรรมชาติออกมาเป็นอันดับหนึ่ง ตามด้วย น้ำมันดิบ และถ่านหิน ซึ่งมีฐานการผลิตตามนี้
ก๊าซธรรมชาติ
สำหรับก๊าซธรรมชาติ ประเทศไทยมีแหล่งผลิตราว 13 แห่งกระจายอยู่ทั่วภูมิภาค โดยมีแหล่งใหญ่คือ แหล่งบงกช และ แหล่งเอราวัณ ซึ่งทั้งสองแหล่งนี้ตั้งอยู่ในอ่าวไทย และล่าสุดมีแหล่งบงกชใต้เพิ่มเข้ามา ที่อยู่ในบริเวณใกล้เคียงกัน
น้ำมันดิบ
แหล่งพลังงานน้ำมันของไทยแบ่งออกเป็นสองประเภท คือแหล่งพลังงานบนบกและแหล่งพลังงานในทะเล สำหรับแหล่งพลังงานบนบกจะมีอยู่ที่ภาคเหนือและภาคกลาง เช่น แอ่งฝาง แอ่งพิษณุโลก เป็นต้น ส่วนแหล่งพลังงานในทะเล เช่น แอ่งจัสมิน แอ่งบานเย็น เป็นต้น
ถ่านหิน
ประเทศไทยมีแหล่งถ่านหินกระจายอยู่ทั่วประเทศ โดยเฉพาะภาคเหนือและภาคตะวันออก และโดยส่วนมากเป็นถ่านหินลิกไนต์ ซึ่งเป็นถ่านหินคุณภาพต่ำ โดยแหล่งผลิตถ่านหินที่ใหญ่ที่สุดของไทยที่หลายคนรู้จักกันดีคือเหมืองถ่านหินในอำเภอแม่เมาะ จังหวัดลำปาง ซึ่งใช้ในการผลิตกระแสไฟฟ้าเป็นหลัก
นอกเหนือจากก๊าซธรรมชาติ น้ำมันดิบ และถ่านหิน ประเทศไทยยังมีการใช้พลังงานทดแทน เช่น พลังงานน้ำจากเขื่อน หรือพลังงานแสงอาทิตย์ ที่ทางภาครัฐกำลังผลักดันให้มีสัดส่วนพลังงานในประเทศไทยเพิ่มมากขึ้น
สัดส่วนพลังงานในประเทศไทย
เราทุกคนรู้ว่าประเทศไทยต้องการพลังงานอย่างมหาศาล แต่เรารู้หรือไม่ว่าทุกวันนี้ประเทศไทยผลิตพลังงานอะไรมากที่สุด และใช้พลังงานอะไรมากที่สุด (ข้อมูลจากกระทรวงพลังงาน)
สัดส่วนการผลิตพลังงานเชิงพาณิชย์ขั้นต้น
ตามข้อมูลของแหล่งผลิตพลังงานข้างต้น สิ่งที่ประเทศไทยผลิตในประเทศได้มากที่สุดยังคงเป็นก๊าซธรรมชาติ ตามด้วยน้ำมันดิบ คอนเดนเสท (ก๊าซธรรมชาติเหลว) และ ลิกไนต์ (ถ่านหิน) ซึ่งสัดส่วนการ
ผลิตนี้ดูจะสวนทางกับการใช้งานที่เน้นน้ำมันเป็นหลัก ทั้งการใช้งานเชิงพาณิชย์ขั้นต้นและการใช้งานเชิงพาณิชย์ขั้นสุดท้าย
สัดส่วนการใช้พลังงานเชิงพาณิชย์ขั้นต้น
สำหรับการใช้พลังงานเชิงพาณิชย์ขั้นต้น ไทยยังคงพึ่งพาก๊าซธรรมชาติที่ผลิตเองภายในประเทศควบคู่ไปกับน้ำมัน ทั้งนี้ทั้งนั้นอัตราการพึ่งพาก๊าซธรรมชาติมีแนวโน้มลดลงจากปี 2560 และยังลดลงอย่างต่อเนื่องจนถึงช่วงต้นปี 2562 (อนึ่งกราฟของการใช้พลังงานจะไม่รวมการใช้พลังงานทดแทน) สวนทางกับน้ำมันที่มีปริมาณความต้องการเพิ่มขึ้น
สัดส่วนการใช้พลังงานเชิงพาณิชย์ขั้นสุดท้าย
ในด้านสัดส่วนการใช้พลังงานเชิงพาณิชย์ขั้นสุดท้าย ประเทศไทยยังคงมีการใช้พลังงานน้ำมันเป็นหลัก และยังมีอัตราส่วนเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง สาเหตุจากการเติบโตของการขนส่งและภาคคมนาคม รวมถึงประชากรที่ใช้รถใช้ถนน (อนึ่งกราฟของการใช้พลังงานจะไม่รวมการใช้พลังงานทดแทน)
สัดส่วนการใช้พลังงานในแต่ละหมวดหมู่
ดังที่กล่าวไว้ข้างต้นว่าการขนส่งเป็นประเด็นหลักสำหรับการใช้พลังงานในประเทศ และจากกราฟนี้ท่านจะเห็นว่าภาคอุตสาหกรรมเองก็มีการใช้พลังงานใกล้เคียงกัน เนื่องจากประเทศไทยกำลังพัฒนาและขยายตัวอย่างต่อเนื่องนั่นเอง
ด้วยสาเหตุดังกล่าวทำให้การนำเข้าพลังงานน้ำมันสำเร็จรูปสูงขึ้นจากปี 2560 ถึง 15.4% และยังไม่มีท่าทีว่าจะลดลงแต่อย่างใด
จากข้อมูลทั้งหมดจะเห็นได้ว่าที่จริงแม้ประเทศไทยจะผลิตพลังงานได้ แต่ถ้าเทียบสัดส่วนแล้วก็ยังไม่เพียงพอกับความต้องการของภาคประชาชน เพราะอัตราส่วนความต้องการที่แตกต่างกัน โดยเฉพาะเทียบกับระดับสากล แล้วจะทราบได้เลยว่าประเทศไทยยังคงมีการใช้พลังงานโดยรวมเพิ่มขึ้น
นอกจากการผลิตและการใช้งานในประเทศแล้ว ไทยยังมีการส่งออกพลังงานบางส่วนออกไปนอกประเทศด้วย แต่เพราะสาเหตุใดเราจึงต้องส่งออก มาดูในหัวข้อถัดไปกันเลยครับ
ทำไมไทยต้องส่งออกพลังงาน
จากหัวข้อที่ผ่านมาเราคงทราบแล้วว่าไทยมีการนำเข้าพลังงานเป็นจำนวนมาก เพื่อความเสถียรทางพลังงานในประเทศ ทว่าก็มีพลังงานบางส่วนที่เราส่งออกไปเช่นกัน แล้วเราส่งออกพลังงานอะไรไปบ้าง ทำไมถึงส่งออก
น้ำมัน
แม้จะมีการนำเข้าน้ำมันมาเพื่อใช้งานในประเทศ แต่ประเทศไทยก็มีการส่งออกน้ำมันไปต่างประเทศด้วยเช่นกัน เหตุผล 2 กรณีหลักๆ ด้วยกัน คือ
1. ประเทศไทยทำหน้าที่เป็นตัวกลางการซื้อขายน้ำมัน กล่าวคือรับน้ำมันดิบเข้ามาในประเทศ ทำการกลั่นเป็นน้ำมันที่สามารถใช้งานได้ และส่งออกในราคาที่สูงขึ้น เพื่อนำกำไรเข้าสู่ประเทศ รวมถึงทำให้โรงกลั่นน้ำมันต่างๆทำงานได้เต็มที่
2. น้ำมันดิบในไทยมีสารปรอทปนเปื้อนสูง ซึ่งส่งผลเสียต่อโรงกลั่นน้ำมัน ทำให้เราต้องมีการส่งออกน้ำมันออกไปเพื่อกลั่นนอกประเทศ
ถ้าแบบนั้น ทำไมจึงไม่สร้างโรงกลั่นเพื่อกลั่นน้ำมันดิบในประเทศ ? สาเหตุเพราะการส่งออกน้ำมันไปกลั่นนอกประเทศมีความคุ้มค่ากว่าการสร้างโรงกลั่นเอง อีกทั้งต้นทุนจากการสร้างโรงกลั่นจะส่งผลกระทบต่อราคาขายน้ำมันหน้าปั้มให้ถีบตัวสูงขึ้น ก็เพราะว่าถ้ามีการสร้างโรงกลั่น จะส่งผลให้ราคาขายน้ำมันหน้าปั๊มสูงขึ้น การส่งออกไปกลั่นจะช่วยประหยัดเงินในส่วนนี้ได้มากกว่า
ก๊าซธรรมชาติ
ประเทศไทยมีการส่งออกก๊าซธรรมชาติเช่นกัน เพราะมีปริมาณการผลิตที่สูงและสามารถใช้งานได้หลากหลายโดยเฉพาะในภาคครัวเรือน โดยเน้นส่งออกไปที่ประเทศเพื่อนบ้าน เช่น กัมพูชา มาเลเซีย และสปป.ลาว ตามลำดับ
ทิศทางอนาคตพลังงานไทย
ปัจจุบันประเทศไทยให้ความสำคัญในพลังงานหลักๆ สองด้าน คือ ด้านพลังงานทดแทนที่ไม่ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม และด้านการเพิ่มเสถียรภาพทางพลังงานภายในประเทศ เพื่อการใช้พลังงานที่ยั่งยืนมากที่สุด โดยส่งผลต่อภาคประชาชนน้อยที่สุด
พลังงานทดแทน
สำหรับทิศทางของพลังงานทดแทน ประเทศไทยจะเน้นด้านการพัฒนาเทคโนโลยีการผลิตพลังงานทดแทน รวมไปถึงการส่งเสริมการลงทุนและการลดต้นทุนทางการผลิต เพื่อทำให้ประชาชนเข้าถึงพลังงานทดแทนได้มากขึ้น และลดสัดส่วนพลังงานจากฟอสซิลให้ได้มากที่สุด รวมไปถึงการพัฒนาและผลักดันการแก้กฎหมายด้านพลังงานทดแทนให้สามารถใช้ได้จริงและทั่วถึง
และยังมีการสนับสนุนการเปิดสถานีอัดประจุไฟฟ้าสำหรับรถพลังงานไฟฟ้า พัฒนาเมืองอัจฉริยะ (Smart City) ด้านพลังงานในนิคมอุตสาหกรรม EEC ให้เป็นต้นแบบในการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ
เสถียรภาพทางพลังงาน
ทางรัฐบาลมีการส่งเสริมด้านเสถียรภาพทางพลังงานอย่างครอบคลุมตั้งแต่การผลิตพลังงาน จนถึงภาคการใช้งานพลังงาน
การผลิตพลังงาน
จะมีการเร่งรัดให้จัดหาปิโตรเลียมทั้งบนบกและทะเลให้มากขึ้น เพื่อตอบสนองความต้องการของประชาชน รวมถึงให้ความรู้กับภาคประชาชนเกี่ยวกับพลังงาน เพื่อสร้างความรู้ความเข้าใจให้มากขึ้น และผลักดันโครงสร้างพื้นฐานและความมั่นคงทางพลังงาน พัฒนาระบบรองรับสภาวะฉุกเฉิน เพื่อแก้ไขวิกฤตพลังงานที่อาจะเกิดขึ้นได้ในอนาคต
โดยในปี 2021 ไทยได้มีการปรับแผนเข้าสู่พลังงานทดแทนใหม่ๆ มากมาย ตั้งแต่การสร้างฟาร์มโซลาร์เซลล์บนน้ำที่ใหญที่สุดในไทยที่เขื่อนสิรินธร การวางแผนทำโรงไฟฟ้าชุมชนเพื่อการจ่ายไฟฟ้าที่ดีขึ้น และการตั้งโรงไฟฟ้าจากขยะเพื่อไม่ให้การผลิตไฟฟ้าเกิดผลกระทบกับสิ่งแวดล้อม
การใช้งานพลังงาน
มีการออกมาตรการการใช้งานในโรงงานและอาคาร พัฒนากฎหมายและระเบียบให้เอื้อต่อพลังงานทดแทน และการอนุรักษ์พลังงาน ส่งเสริมการใช้ LED เน้นให้ภาครัฐเป็นต้นแบบให้ภาคประชาชนด้านการประหยัดพลังงาน
มีการอบรมบุคลากร ลดความซ้ำซ้อนในการปฏิบัติงานในโครงสร้างหน่วยงานเกี่ยวกับพลังงาน เพื่อให้สามารถทำงานได้อย่างคล่องแคล่ว และรัดกุมมากยิ่งขึ้น
ตอนนี้เราคงทราบแล้วว่าประเทศไทยมีแหล่งพลังงานอยู่ที่ไหน และมีเพียงพอต่อการใช้งานหรือไม่ รวมไปถึงอนาคตจะมีทิศทางแบบใด ถึงแม้ว่าภาครัฐจะออกนโยบายมาดีแค่ไหน แต่เราก็ยังคงต้องขอความร่วมมือจากภาคประชาชน ให้ทุกคนเห็นค่าของพลังงาน ช่วยกันใช้พลังงานอย่างมีคุณค่า เพื่อที่ประเทศไทยจะสามารถใช้พลังงานที่มีอยู่ได้อย่างยั่งยืนตราบนานเท่านาน
นอกเหนือจากนั้น ทางคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน(กกพ.) ยังมีแนวคิดการรื้อโครงสร้างค่าไฟฟ้าครั้งใหญ่ เพื่อทำให้การคิดค่าไฟฟ้าง่าย สะดวก รองรับการผลิตไฟ้าจากหลายพื้นที่ยิ่งขึ้นกว่าเดิม เปิดโอกาสให้มีการแข่งขันในการผลิตพลังงานเพิ่มสูงขึ้นอีกด้วย
สรุป
ประเทศไทยมีแหล่งพลังงานมากมายหลากหลายรูปแบบ ทั้งพลังงานฟอสซิลและพลังงานหมุนเวียนรูปแบบต่างๆ แน่นอนว่าการบริหารจัดการที่ดีย่อมเป็นตัวแปรสำคัญที่จะทำให้ทิศทางพลังงานไทยเติบโตไปได้อย่างยั่งยืน อย่างไรก็ตาม ท้ายสุดแล้วภาคประชาชนยังคงมีบทบาทสำคัญในฐานะผู้ใช้พลังงาน
การให้ความร่วมมือในการประหยัดพลังงาน รู้คุณค่าของพลังงาน และใช้พลังงานต่างๆ อย่างมีประสิทธิภาพ จึงเป็นหนทางสำคัญที่ทำให้การใช้แหล่งพลังงานเป็นไปได้อย่างคุ้มค่า และทำให้ประเทศไทยมีความมั่นคงทางพลังงานไปตราบนานเท่านาน
